Sustainable

Tourism Information System

ATTRACTION

ค้นหาตามสำนักงานพื้นที่พิเศษ อพท.

ค้นหาตามเขตพัฒนาการท่องเที่ยว

จำนวนทั้งหมด 329 รายการ
สำนักงานพื้นที่พิเศษ 3

เกาะสะเก็ด

ประเภท : ทางธรรมชาติประเภทเกาะ

เกาะสะเก็ดเพชร เป็นเกาะที่ ได้รับสัมปทาน ทำเป็นรีสอร์ท อยู่ห่างจากชายฝั่ง โดยนั่งเรือ จากหาดทรายทอง ประมาณ 15 นาที บนเกาะ มีทิวทัศน์สวยงาม ยามน้ำลด จะเห็นหาดทราย ยื่นไปในทะเล เป็นแนวยาว มีแนวปะการังที่สวยงาม แม้จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่เมื่อในอดีต เกาะสะเก็ดคือเกาะที่ได้รับความนิยมของหมู่นักท่องเที่ยว เพราะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ธรรมชาติที่สมบูรณ์ด้วยต้นไม้อันเขียวขจี ที่โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีคราม เมื่อยามน้ำลดจะเห็นหาดทรายสีขาวยื่นออกไปในทะเลเป็นแนวยาว นอกจากนี้เกาะสะเก็ดยังมีแนวหินที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หอยแมลงภู่ หอยจอบและหอยนางรม อีกทั้งยังเป็นแหล่งปะการังที่มีมากถึง 41 ชนิด และเป็นแหล่งปะการังที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในประเทศไทย

สำนักงานพื้นที่พิเศษ 7

พระตำหนักคำหยาด

ประเภท : ทางประวัติศาสตร์

อยู่ในท้องที่ตำบลคำหยาด ถัดจากวัดโพธิ์ทอง ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 กม. บนถนนสายเดียวกัน ตัวอาคารตั้งโดดเด่นอยู่กลางทุ่งนา ก่อด้วยอิฐถือปูนขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร สภาพปัจจุบันมีเพียงผนัง 4 ด้าน แต่ยังคงเห็นเค้าความสวยงามทางด้านศิลปกรรม เช่น ลอดลายประดับซุ้มจรนำหน้าต่าง ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อ พ.ศ. 2451 ได้เสด็จมายังโบราณสถานแห่งนี้และทรงมีพระราชหัตถเลขาอรรถาธิบายไว้ว่า เดิมทีทรงมีพระราชดำริว่า ขุนหลวงหาวัด (เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต) ทรงผนวชที่วัดโพธิ์ทองแล้วสร้างพระตำหนักแห่งนี้ขึ้นเพื่อจำพรรษา เนื่องจากมีชัยภูมิที่เหมาะสม ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นตัวพระตำหนักสร้างด้วยความประณีตสวยงามแล้วพระราชดำริเดิมก็เปลี่ยนไป ด้วยทรงเห็นว่าไม่น่าที่ขุนหลวงหาวัดจะทรงมีความคิดใหญ่โต สร้างที่ประทับชั่วคราวหรือที่มั่นในการต่อสู้ให้ดูสวยงามเช่นนี้ ดังนั้น จึงทรงสันนิษฐานว่า พระตำหนักนี้คงจะสร้างขึ้นตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เพื่อเป็นที่ประทับแรมเนื่องจากมีพระราชนิยมเสด็จประพาสเมืองแถบนี้อยู่เนือง ๆ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างที่ประทับไว้ที่บางปะอิน ขณะที่กรมขุนพรพินิตผนวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ได้ทรงนำข้าราชบริพารกับพระภิกษุที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ออกจากพระนครศรีอยุธยามา จำพรรษาที่ วัดโพธิ์ทอง และประทับอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดนี้เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านบางระจัน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะ และขึ้นทะเบียนพระตำหนักคำหยาดเป็นโบราณสถานไว้แล้ว ที่มา : https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/3014

สำนักงานพื้นที่พิเศษ 2

ปราสาททองหลาง (ปราสาทหนองทองหลาง)

ประเภท : ทางประวัติศาสตร์

ปราสาททองหลาง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นปรางค์ ก่อด้วยอิฐ 3 หลัง  ตั้งเรียงกันในแนวเหนือ – ใต้  บนฐานศิลาแลงเดียวกัน  หันหน้าไปทางทิศตะวันออก  ปราสาทหลังกลางมีขนาดใหญ่กว่าปราสาทอีกสองหลังที่ขนาบข้าง  จากลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรม  สันนิษฐานได้ว่าปราสาททองหลางมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16–17 เทียบได้กับศิลปะเขมรแบบบาปวน (พ.ศ. 1550-1620) กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2479 และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 155 วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2525 พื้นที่ประมาณ 6 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา ปราสาททองหลางเป็นโบราณสถานที่รับอิทธิพลวัฒนธรรม-เขมรโบราณที่พบไม่มากนัก ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี 

สำนักงานพื้นที่พิเศษ 2

วัดปากแซง (วัดพระใหญ่ พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ)

ประเภท : ทางวัฒนธรรม

พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สร้างด้วยอิฐผสมปูนขาว ขนาดหน้าตักกว้าง 2.90 เมตร สูง 4.36 เมตร มีอายุเก่าแก่ และเป็นที่เคารพนับถือ ของประชาชนไทยและลาว ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระโต บ้านปากแซง ตามประวัติเล่าว่ามีกษัตริย์สมัยขอมพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระยาแข้วเจ็ดถัน ได้เสด็จล่องเรือลงมาตามลำแม่น้ำโขงในฤดูฝน พอถึงบ้านปากแซงก็ค่ำลง จึงได้หยุดประทับแรม 1 คืน วันรุ่งขึ้น พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปยังหมู่บ้าน และได้พบกับเจ้ากวนของหมู่บ้านในสมัยนั้น พระยาแข้วเจ็ดถัน ได้ตรัสถามถึงประวัติของหมู่บ้าน เจ้ากวนได้เล่าให้ฟังว่า บ้านนี้มีหาดสวยงามกว้างใหญ่ ในฤดูแล้ง หาดทรายจะโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ และหาดทรายแห่งนี้มีสิ่งอัศจรรย์อยู่คือ ถ้าปีใดหาดทรายโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำระหว่างหมู่บ้าน ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อพระองค์ได้ทราบก็เกิดศรัทธาในใจว่า สักวันหนึ่งจะต้องย้อนกลับมาสร้างหมู่บ้านนี้ให้เป็นเมือง ในราว พ.ศ. 1154 พระองค์ ก็ได้เสด็จมา พร้อมด้วยข้าทาสบริวารเป็นจำนวนมาก เมื่อเสด็จมาถึง พระองค์จึงได้มอบให้เจ้าแสง ซึ่งคงจะเป็นนายชั้นผู้ใหญ่ เป็นคนควบคุมการก่อสร้างพร้อมกันนี้ก็ได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง ซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อประมาณ พ.ศ. 1180 และขนานนามว่า พระอินทร์ใส่โฉม (ต่อมาเรียก พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ) เมื่อเจ้าแสงถึงแก่กรรมลง ชาวเมืองได้สร้างหอหลักเมืองขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ และขนานนามว่า หอแสง ต่อมาวัดแห่งนี้ก็ขาดคนบูรณะ และกลายเป็นวัดร้าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายร้อยปี ควาญช้างในหมู่บ้านนี้ ได้ไปพบพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว และได้บอกบุญชาวบ้านร่วมกันบูรณะวัดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระโต”