Sustainable

Tourism Information System

ATTRACTION

ค้นหาตามสำนักงานพื้นที่พิเศษ อพท.

ค้นหาตามเขตพัฒนาการท่องเที่ยว

จำนวนทั้งหมด 329 รายการ

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (วัดแหลมท่อบ่อ)

ประเภท : ทางประวัติศาสตร์

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (วัดแหลมท่อบ่อ) ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลเกาะใหญ่ ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 7 กิโลเมตร เล่ากันว่าผู้สร้างบ่อน้ำนี้ก็คือ พระรูปหนึ่งชื่อ พระสินนารายณ์และฆราวาสชื่อขุนวิชัย พรหมศานส์ ซึ่งเดินทางจากประเทศอินเดัยสู่กรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานจดหมายเหตุเมื่อ ร.5 เสด็จประพาสใต้ ในการเสด็จไปเกาะสี่ เกาะห้า พระองค์ได้เสด็จมาที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เคยถูกนำไปใช้งานในพิธีฉลองราชมังคลาภิเษก แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทั้งนี้หากผู้ใดเจ็บไข้ไม่สบายได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้แล้ว จะหายวันหายคืน บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้มีน้ำสะอาดใสตลอดปี

ศูนย์เรียนรู้ทอผ้าเกาะยอ

ประเภท : ทางวัฒนธรรม

กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทอผ้าเกาะยอ ได้จดทะเบียนจัดตั้งกลุ่มในปี พ.ศ. 2544 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ สร้างรายได้ให้กับชุมชน, ส่งเสริมให้สมาชิกมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น, สร้างความสามัคคีในหมู่สมาชิกและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการทอผ้าเกาะยอ ซึ่งความรู้ที่กลุ่มกำหนดขึ้นเป็นความรู้ที่ชุมชนสืบต่อกันมาช้านาน นั่นคือการทอผ้า ซึ่งมีการทอกันทุกหมู่บ้านในชุมชนนี้ จนถือได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชุมชน โดยสถานที่ทำการกลุ่มแต่เดิมใช้ที่บ้านของประธานกลุ่มในพื้นที่บริเวณเดียวกัน ต่อมาเมื่อมีการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้น (ในบริเวณนี้) จึงย้ายมาดำเนินการเป็นศูนย์รับซื้อและจำหน่ายที่บ้านหลังใหม่นี้ ส่วนที่บ้านหลังเดิมซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ใช้เป็นสถานที่ฝึกและผลิตของสมาชิกที่สนใจจะมาฝึกและผลิตที่กลุ่ม ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.kohyor.go.th/otop/detail/1175

ถ้ำคูหาสวรรค์

ประเภท : ทางประวัติศาสตร์

ถ้ำคูหาสวรรค์ตั้งอยู่เชิงเขา ภายในวัดคูหาสวรรค์ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดคูหาสูง หรือวัดสูง เนื่องจากบริเวณตั้งวัดอยู่บนเชิงเขาเป็นที่สูง ปากถ้ำหันไปทางทิศเหนือ เดิมชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำน้ำเงิน หรือ ถ้ำพระ ส่วนชื่อคูหาสวรรค์ เชื่อว่าน่าจะมีการเรียกมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถ ถ้ำกว้าง 18 เมตร ยาว 28 เมตร สูงเป็นเวิ้งรูปกรวย ตอนบนมีหินงอกคล้ายรูปช้าง ชาวบ้านเรียกว่า ช้างผุดหรือหินลับแล พื้นถ้ำปูด้วยอิฐถือปูน มีเจดีย์เล็ก ๆ หนึ่งองค์ มีพระพุทธรูปปูนปั้นและปั้นด้วยดินเหนียวเรียงแถวเป็นระเบียบทางด้านทิศเหนือ ทิศใต้และทิศตะวันตก รวม 37 องค์ มีขนาดต่างๆ กัน หน้าตักกว้างตั้งแต่ 0.50 - 1.50 เมตรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 3.36 เมตร สูงตลอดรัศมี 6 เมตร ด้านซ้ายของผนังถ้ำมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางไสยาสน์ 1 องค์ ขนาดยาว 12 เมตร สูง 2เมตร พระพุทธรูปเหล่านี้ตามประวัติว่า พระมุนี (สมเด็จพะโคะหรือหลวงพ่อทวด วัดช้างให้) ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา จำนวน 20 องค์ ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ ได้รับการบูรณะและต่อเติมพระพุทธรูปขึ้นอีก 17 องค์ ขึ้นไปตามเพิงผาหน้าถ้ำมีจารึกพระนามย่อพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์และเจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่เคยเสด็จประพาส เรียงตามลำดับดังนี้ จปร.108ปปร.25/10/2471 ภปร.17/3/2502 สก. เพิงผาตอนล่าง มีจารึก บส.30/10/73 ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.m-culture.go.th/phatthalung/ewt_news.php?nid=230&filename=index

นาริมเลปากประ

ประเภท : เชิงนิเวศ

ที่ริมทะเลสาบลำปำ ทะเลสาบสงขลาตอนใน บริเวณด้านหลังโรงเรียนวัดปากประ อ.เมือง จ.พัทลุง จะมีการลงแขกดำนา ทำนาริมเล" ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศไทย ทั้งนี้โรงเรียนวัดปากประได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตชาวปากประ และระบบนิเวศริมทะเลสาบในพื้นที่บ้านปากประผ่านการทำนาริมเล ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่บรรพบุรุษชาวปากประ โดยริมทะเลสาบในแถบ จ.พัทลุง มีความพิเศษคือจะเป็นดินตะกอน ที่น้ำพัดพามาทับถม ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก สำหรับสายพันธุ์ข้าวที่ปลูกคือ สายพันธุ์มะลิพวง สายพันธุ์ กข.43 นอกจากเป็นการสร้างจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นให้กับผู้เรียน ประชาชน ยังเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม และระบบนิเวศในชุมชนบ้านปากประ อีกด้วย ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/70963